การติดต่อราชการสถานีตำรวจ
ก.การแจ้งเหตุ
หรือการแจ้งข่าวอาชญากรรม ประชาชนสามารถให้ความช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ด้วยการช่วยกันเป็นหูเป็นตาสอดส่องพบเห็นเหตุร้ายหรือพฤติกรรมมีพิรุธน่าสงสัย เข้าข่ายอาชญากรรมประเภทต่าง ๆ เช่น ลักทรัพย์ ปล้นชิงทรัพย์ ฯลฯ ตลอดจนอุบัติเหตุร้ายแรงที่ต้องอาศัยเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นหลักสำคัญในการคลายทุกข์ร้อนของประชาชน
วิธีการแจ้งข่าวอาชญากรรม สามารถกระทำได้ ดังนี้
พบกับเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือฝ่ายปกครองในท้องที่ที่เกิดเหตุ
แจ้งเหตุทางโทรศัพท์ ซึ่งแบ่งเป็น 2 ลักษณะ คือ
โทรศัพท์หมายเลขฉุกเฉินโดยตรงของทางราชการ เช่น เหตุด่วนเหตุร้าย โทรแจ้ง 191
โทรศัพท์แจ้งเหตุในรายการวิทยุต่าง ๆ ที่สามารถประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทันท่วงที
แจ้งเหตุทางจดหมายไปยังสถานีตำรวจในท้องที่
ข้อควรทราบในการแจ้งข่าวอาชญากรรมทางโทรศัพท์ เมื่อพบเห็นเหตุร้าย อย่ามัวแต่ตกใจ ควรระงับสติอารมณ์แล้วแจ้งเหตุแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจทันที พยายามจดจำข้อมูลรายละเอียดต่าง ๆ ของเหตุการณ์ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สิ่งสำคัญที่เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องการมากที่สุด คือ
เหตุร้ายนั้นเป็นเหตุอะไร เช่น ฆ่าคนตาย รถชนกัน ปล้นทรัพย์ ฯลฯ
เหตุนั้นเกิดที่ไหน ระบุสถานที่ให้ชัดเจนถูกต้อง
คนร้ายมีลักษณะอย่างไร บอกรูปพรรณสัณฐานของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ ถ้าเป็นยานพาหนะ ก็ควรสังเกตว่ายานพาหนะนั้นมีป้ายทะเบียนหรือไม่ ถ้ามีเป็นหมายเลขอะไร เหล่านี้เป็นต้น
การแจ้งข่าวอาชญากรรม สามารถแบ่งเป็น
1. การแจ้งข่าวก่อนเกิดเหตุ ช่วยกันจับตาดูแลสอดส่องพฤติกรรมของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่มีพฤติกรรมน่าสงสัยดังนี้
- ผู้มักมีพฤติกรรมการลักเล็กขโมยน้อย หรือ ลักโค กระบือ
- อันธพาล นักเลง
- ผู้ติดยาเสพย์ติดผิดกฎหมาย เช่น ฝิ่น กัญชา เฮโรอีน สารระเหย
- มือปืนรับจ้าง
- บุคคลแปลกหน้าที่มีพฤติกรรมน่าสงสัย
- แหล่งซ่องสุมหรือหลบซ่อนตัวของคนร้าย หรือ รับซื้อของโจร
- แหล่งค้ายาเสพย์ติด
- แหล่งล่อลวงหญิงค้าประเวณี หรือ ทารุณกรรม
- แหล่งกักขัง ใช้แรงงานเด็ก หรือใช้แรงงานคนต่างด้าวผิดกฎหมาย
2. การแจ้งข่าวขณะเกิดเหตุและหลังเกิดเหตุ
- แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจทันที หากได้พบเห็นบุคคลเป็นผู้ต้องสงสัยว่ากระทำผิดจดจำลักษณะ ตำหนิรูปพรรณ และยานพาหนะของผู้นั้น
- ให้ข้อเท็จจริงกับเจ้าหน้าที่อย่างละเอียด ไม่บิดเบือน เพื่อผลการดำเนินงานสอบสวนติดตามผลจะได้ถูกต้องแม่นยำ รวดเร็ว
- ถ้าเหตุร้ายมีผลต่อสาธารณชน เช่น อัคคีภัย ควรแจ้งตำรวจดับเพลิงหรือกรณีที่พบอุบัติเหตุรถชนกัน มีผู้ได้รับบาดเจ็บ ควรรีบแจ้งเจ้าหน้าที่โดยด่วนแล้วช่วยดูแลทรัพย์สินของผู้ประสบเหตุ
ข. การแจ้งความต่าง ๆ
เมื่อประชาชนประสบเหตุเดือดร้อนไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตาม หน่วยงานสำคัญที่จะเป็นที่พึ่งได้ในยามเกิดปัญหาคือ สถานีตำรวจ ตามกฎหมายได้ให้สิทธิแก่ประชาชนในการร้องทุกข์หรือแจ้งความเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างเต็มที่ รวมไปถึงกำหนดหน้าที่ของตำรวจที่จะต้องเอาใจใส่ต่อคำร้องทุกข์ของประชาชน จะละเลยไม่ไดสงสัยหรือเปล่าล่ะว่า แจ้งความ กับ แจ้งเหตุ ต่างกันอย่างไร้
การแจ้งเหตุ คือ เมื่อเห็นเหตุการณ์ร้ายแรงใด ๆ ก็ควรช่วยเหลือสังคมด้วย แจ้งเหตุการณ์ที่เห็นแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อจะได้ช่วยเหลือได้ทันท่วงที
การแจ้งความ คือ เมื่อเรามีเรื่องทุกข์ร้อน และนำเรื่องนั้นไปแจ้งหรือร้องทุกข์แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว มันจะกลายเป็นคดีความระหว่างเราซึ่งเป็นผู้เสียหายกับคู่กรณี ดังนั้นมีความจำเป็นอย่างยิ่งจะต้องเรียนรู้ถึงวิธีปฏิบัติ รวมทั้งการเตรียมเอกสารในเรื่องที่จะแจ้งความนั้นให้พร้อม เพื่อจะทำให้การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น
1. แจ้งความเอกสารสำคัญหาย
เช่น ใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ จักรยานยนต์ โฉนดที่ดิน ใบสำคัญต่าง ๆ ฯลฯ มีขั้นตอนดังนี้ คือ ยื่นคำร้องแจ้งว่าเอกสารดังกล่าวหายต่อสถานีตำรวจท้องที่ที่เกิดเหตุ จากนั้นเจ้าพนักงานจะตรวจสอบว่าจริงหรือไม่ แล้วลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน พร้อมทั้งออกหลักฐานการแจ้งความเอกสารหายเพื่อให้ท่านนำไปยังหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องสำหรับดำเนินการต่อไป
2. แจ้งความคนหาย
หลักฐานต่าง ๆ ที่ควรนำไปแสดงต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ คือ
- บัตรประจำตัวผู้หาย หรือสำเนาบัตรที่ถ่ายเก็บไว้ (ถ้ามี)
- สำเนาทะเบียนบ้านผู้หาย
- ภาพถ่ายคนหาย (เป็นภาพถ่ายปัจจุบัน)
- ใบสำคัญทางราชการ เช่น ใบเกิด ใบสำคัญทหาร (ใบกองเกิน ใบกองหนุน)
3. แจ้งความรถหรือเรือหาย
หลักฐานต่าง ๆ ที่ควรนำไปแสดงต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ คือ
- ใบทะเบียนรถยนต์ รถจักรยานยนต์ หรือ พาหนะอื่น ๆ ที่หาย
- ใบรับเงินหรือสัญญาซื้อขายเท่าที่มี
- ถ้าเป็นตัวแทนห้างร้าน บริษัท ผู้ไปแจ้งความควรมีหนังสือมอบอำนาจจากเจ้าของหรือผู้จัดการของห้างร้าน บริษัทนั้น ๆ ไป รวมทั้งหนังสือรับรองบริษัทด้วย
- หนังสือคู่มือประจำตัวรถที่ทางบริษัทห้างร้านออกให้ ถ้าไม่มีก็ให้จำสีรถ แบบ ยี่ห้อ หมายเลขประจำเครื่องและตัวรถไปด้วย (ถ้ามี)
- หากมีภาพถ่ายรถหรือเรือที่หายให้นำไปด้วย
4. แจ้งความอาวุธปืนหาย
ควรเตรียมหลักฐานดังนี้
- ทะเบียนใบอนุญาตอาวุธปืน
- ใบเสร็จรับเงินที่บริษัทห้างร้านขายปืนออกให้ (ถ้ามี)
- ภายถ่ายปืนที่หาย (ถ้ามี)
5. แจ้งความทรัพย์สินหาย
ควรเตรียมหลักฐานดังนี้
- ใบเสร็จรับเงินซื้อขาย หรือหลักฐานการแสดงการซื้อขายทรัพย์สินนั้น
- รูปพรรณทรัพย์สินนั้น ๆ เช่น หมายเลขเครื่อง ฯลฯ (ถ้ามี)
- ตำหนิหรือลักษณะพิเศษต่าง ๆ
- เอกสารสำคัญต่าง ๆ เท่าที่มี
- ภาพถ่ายของทรัพย์สินที่หาย (ถ้ามี)
ในกรณีที่คนร้ายขโมยทรัพย์สินในบ้านหรือสำนักงาน ให้รักษาร่องรอยหลักฐานในที่เกิดเหตุไว้ อย่าให้ใครเข้าไปเคลื่อนย้ายหรือแตะต้องจนกว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะมาดำเนินการ
6. แจ้งความพรากผู้เยาว์
ผู้เยาว์ คือ ผู้ที่อายุยังไม่ถึง 20 ปี หรือยังไม่บรรลุนิติภาวะ ข้อหาพรากผู้เยาว์เป็นอย่างไร คงจำกันได้ดีถึงกรณีพิพาทอื้อฉาวบนหน้าหนังสือพิมพ์ระหว่างนักร้องหญิงวัยรุ่นกับแม่ของเธอ เรื่องมันก็มีอยู่ว่าสาวเจ้าเล่นประกาศปาว ๆ จะอยู่กินกับแฟนหนุ่ม แถมท้องได้ 4 เดือนเสียด้วย ทั้ง ๆ ที่อายุยังไม่ถึง 20 ปี เล่นเอาคุณแม่ต้องวิ่งโร่ไปแจ้งความกับตำรวจในข้อหาที่แฟนหนุ่มนั้นพรากผู้เยาว์น่ะสิ เห็นชัดแล้วใช่มั้ยว่าการพรากผู้เยาว์เป็นอย่างไร ใครที่เจอเหตุการณ์แบบนี้ เวลาจะขึ้นโรงพักไปแจ้งตำรวจ ก็อย่างลืมเตรียมเอกสาร ดังนี้
- สำเนาทะเบียนบ้านของผู้เยาว์
- ใบเกิดของผู้เยาว์ (สูติบัตร)
- รูปถ่ายของผู้เยาว์
- ใบสำคัญอื่น ๆ เกี่ยวกับผู้เยาว์ (ถ้ามี)
7. แจ้งความถูกข่มขืนกระทำชำเรา
ควรเตรียมหลักฐานดังนี้
- เสื้อผ้าของผู้ถูกข่มขืน ซึ่งมีรอยเปื้อนอันเกิดจากการข่มขืน และสิ่งของต่าง ๆของผู้ต้องหาที่ตกอยู่ในสถานที่เกิดเหตุ
- สำเนาทะเบียนบ้านของผู้เสียหาย
- รูปถ่ายหรือที่อยู่ของผู้ต้องสงสัยตลอดจนหลักฐานอื่น ๆ (ถ้ามี)
8. แจ้งความถูกทำร้ายร่างกายและเหตุฆ่าคนตาย
ดำเนินการดังนี้
-รักษาสถานที่เกิดเหตุไว้อย่าให้ใครเข้าไปยุ่มย่ามหรือเคลื่อนย้ายสิ่งของต่างๆ ในที่เกิดเหตุจนกว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะดำเนินการ
- ดูแลรักษาอาวุธของคนร้ายหรือพยานหลักฐานต่าง ๆ เพื่อส่งมอบแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจ
- บอกรายละเอียดต่าง ๆ เท่าที่สามารถบอกได้ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทราบ
9. แจ้งความถูกปลอมแปลงเอกสาร
นำหลักฐานต่าง ๆ ไปดังนี้
- ใบสำคัญตัวจริง เช่น โฉนด แบบ น.ส. 3 หนังสือสัญญา ใบเสร็จรับเงิน ฯลฯ
- หนังสือที่ปลอมแปลง
- ตัวอย่างตราที่ใช้ประทับหรือลายเซ็นในหนังสือ
10. แจ้งความถูกฉ้อโกงทรัพย์
เตรียมหลักฐานดังนี้
- หนังสือหรือหลักฐานต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการถูกฉ้อโกง
- หลักฐานแสดงการเป็นผู้ครอบครองทรัพย์
- หนังสือหรือหลักฐานแสดงความเป็นเจ้าของทรัพย์
11. แจ้งความถูกยักยอกทรัพย์
ควรเตรียมหลักฐานดังนี้
- หนังสือสำคัญที่เป็นหลักฐานว่าได้มีการมอบหมายทรัพย์ให้ไปจัดการอย่างใด
อย่างหนึ่ง
- ใบสำคัญแสดงการเป็นเจ้าของ
- สำเนาหรือคำสั่งศาล หรือพินัยกรรมในกรณีผู้กระทำผิดเป็นผู้จัดการทรัพย์สิน
ผู้อื่นตามคำสั่งศาลหรือพินัยกรรม
12. แจ้งความถูกยักยอกทรัพย์ในส่วนที่เกี่ยวกับการเช่าซื้อ
ควรเตรียมหลักฐานดังนี้
- สัญญาใบเช่าซื้อหรือสำเนา
- ใบสำคัญติดต่อซื้อ ขาย เช่า ยืม หรือ ฝาก
- ใบสำคัญที่บริษัทห้างร้านออกให้โดยระบุรูปพรรณ ยี่ห้อ สี ขนาด น้ำหนัก
และเลขหมายประจำตัว
13. แจ้งความกรณีทำให้เสียทรัพย์
ควรเตรียมเอกสารดังนี้
- หลักฐานต่าง ๆ แสดงการเป็นเจ้าของหรือครอบครองทรัพย์นั้น
- หลักฐานหรือสิ่งของที่เสียหายเท่าที่มีหรือเท่าที่นำไปได้
- หากเป็นของใหญ่โต หรือทรัพย์ที่ไม่สามารถพกพาติดตัวได้ให้เก็บรักษาไว้
อย่าให้เกิดความเสียหายมากขึ้นกว่าเดิม หรือจัดให้คนเฝ้ารักษาไว้เพื่อเป็น
หลักฐานในการดำเนินคดีต่อไป
14. แจ้งความจ่ายเช็คโดยไม่มีเงิน
ควรเตรียมหลักฐานไปแสดงต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจดังนี้
- เช็คที่ยึดไว้
- หนังสือที่ธนาคารแจ้งขัดข้องหรือปฏิเสธการจ่ายเงิน (ใบคืนเช็ค)
- หลักฐานหรือเอกสารซึ่งเป็นมูลหนี้แห่งที่มาของการจ่ายเช็ค เช่น
1. บิลส่งสินค้ากรณีที่มีการซื้อขายกัน , หนังสือสัญญากู้ยืมเงิน
2. สัญญาซื้อขาย หรือเอกสารอื่นใดที่เป็นหลักฐานแห่งมูลหนี้ของการจ่ายเช็ค
- สำเนาทะเบียนบ้านของผู้แจ้ง
- บัตรประจำตัวประชาชนของผู้แจ้ง
กรณี เป็นเช็คของบริษัท หรือมีการมอบอำนาจ จะต้องมีเอกสารเพิ่มเติม คือ
- หนังสือมอบอำนาจติดการแสตมป์ถูกต้อง
- สำเนาทะเบียนบ้านของผู้มอบอำนาจ
- สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้มอบอำนาจ
- เอกสารเกี่ยวกับตัวผู้จ่ายเช็ค (ถ้ามี)
ค. การชำระค่าปรับ
เมื่อเราทำผิดกฎจราจร และได้รับใบสั่งสำหรับความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ สามารถเลือกปฏิบัติในการชำระค่าปรับตามจำนวนเงินที่ระบุไว้ในใบสั่งของเจ้าพนักงานจราจร ณ สถานที่และภายในวันเวลาที่ระบุไว้ในใบสั่งได้อย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้
1. ชำระที่สถานีตำรวจหรือหน่วยงานตำรวจที่ออกใบสั่งนั้น
2. ชำระ ณ ที่ทำการไปรษณีย์แห่งใดก็ได้
กรณี ผู้ได้รับใบสั่งไม่ปฏิบัติตามข้อ 1 หรือข้อ 2 ภายในระยะเวลาที่กำหนดโดยไม่มีเหตุอันควร มีความผิดต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท อีกข้อหาหนึ่งต่างหาก
อัตราปรับ
ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในฐานะของเจ้าพนักงานจราจรทั่วราชอาณาจักร ได้ออกข้อกำหนดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่องการชำระค่าปรับทางไปรษณีย์ แบบใบสั่งและกำหนดค่าปรับตามที่เปรียบเทียบสำหรับความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ โดยได้กำหนดค่าปรับของแต่ละข้อหาไว้ให้พนักงานสอบสวนและเจ้าหน้าที่จราจรถือปฏิบัติ ฉะนั้นการจะไปชำระที่สถานีตำรวจหรือชำระทางไปรษณีย์จะต้องชำระค่าปรับในอัตรเดียวกัน
ขั้นตอนการชำระค่าปรับทางไปรษณีย์
ผู้ขับขี่หรือเจ้าของรถต้องถ่ายเอกสารใบสั่งทั้ง 2 หน้า โดยกรอกข้อความในสำนาใบสั่งในส่วนของ “บันทึกของผู้ต้องหา” ให้ครบถ้วนพร้อมลงลายมือชื่อ (ใบสั่งตัวจริงเก็บไว้เป็นหลักฐาน)
ไปที่ทำการไปรษณีย์แห่งใดก็ได้พร้อมแจ้งความจำนงว่าจะชำระค่าปรับทางไปรษณีย์
เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์จะมอบใบฝากธนาณัติในประเทศและซองจดหมายจำนวน 2 ซอง เพื่อดำเนินการดังนี้
- กรอกรายละเอียดในใบฝากส่งไปรษณีย์ธนาณัติในประเทศสั่งจ่าย “ผู้บัญชา การตำรวจแห่งชาติ” ณ ที่ทำการไปรษณีย์ปลายทางตามที่ระบุไว้ในใบสั่ง
- จ่าหน้าซอง โดยซองแรกให้จ่าหน้าถึงหัวหน้าสถานีตำรวจหรือหัวหน้าหน่วย
งานตำรวจที่ออกใบสั่ง และซองที่สองให้จ่าตามชื่อที่อยู่ของผู้ขับขี่หรือเจ้าของ
รถที่ได้กรอกไว้ในสำเนาใบสั่งส่วนของ “บันทึกผู้ต้องหา” ตามข้อ 1 เพื่อจะส่ง
ใบเสร็จรับเงินและใบอนุญาตขับขี่ (หากถูกยึด) คืนให้
- มอบเอกสารตามข้างต้นให้เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ พร้อมชำระค่าปรับจำนวนที่
ระบุไว้ในใบสั่งและเงินค่าใช้บริการตามที่ที่ทำการไปรษณีย์เรียกเก็บ
- เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์จะตรวจความถูกต้องและดำเนินการให้ต่อไป
การใช้ใบรับแทนใบอนุญาตขับขี่เป็นการชั่วคราว
1. ใบรับแทนใบอนุญาต (ใบสั่ง) ใช้แทนใบอนุญาตขับขี่ที่ถูกพนักงานเจ้าหน้าที่ยึดไว้ได้ไม่เกิน 7 วัน นับแต่วันที่ออกใบสั่ง
2. กรณี ผู้ขับขี่หรือเจ้าของรถเลือกหรือมีความจำเป็นต้องใช้วิธีการชำระค่าปรับทางไปรษณีย์ธนาณัติ จะต้องดำเนินการภายใน 7 วัน จึงสามารถใช้ใบรับแทนใบอนุญาต (ใบสั่ง) ประกอบกับใบรับการส่งธนาณัติแทนใบอนุญาตขับขี่ออกไปได้อีก 10 วัน นับแต่วันที่ส่งธนาณัติ
จะได้รับใบอนุญาตขับขี่คืนเมื่อใด
สำนักงานตำรวจแห่งชาติและการสื่อสารแห่งประเทศไทย จัดทำข้อตกลงระหว่างกันเพื่อให้บริการชำระค่าปรับทางไปรษณีย์ด่วนพิเศษในประเทศ (EMS) ฉะนั้นเมื่อพนักงานสอบสวนของสถานีตำรวจออกใบสั่ง ได้รับเงินตามธนาณัติแล้วจะต้องส่งคืนใบเสร็จรับเงินและใบอนุญาตขับขี่ (หากถูกยึด) คืนให้โดยเร็ว
ง. กิจธุระที่ต้องขออนุญาตต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ
1. การขออนุญาตแสดงมหรสพชั่วคราว
- ต้องมีหนังสือยินยอมจากเจ้าของสถานที่
- ต้องขออนุญาตใช้เครื่องขยายเสียงด้วย (ถ้ามี)
- เลิกแสดงมหรสพเวลา 24.00 น.
สำหรับในเขตกรุงเทพมหานคร จะต้องยื่นคำร้องต่อผู้กำกับหรือรองผู้กำกับหัวหน้าสถานีตำรวจท้องที่เป็นผู้พิจารณาอนุญาต
ส่วนในต่างจังหวัด จะต้องยื่นคำร้องต่อนายอำเภอท้องที่ และเมื่อนายอำเภออนุญาตแล้วจะแจ้งให้ตำรวจท้องที่ทราบ
2. การขออนุญาตใช้เครื่องขยายเสียง
ในกรุงเทพมหานคร ต้องยื่นคำร้องต่อผู้อำนวยการเขต
ในต่างจังหวัด ต้องยื่นคำร้องต่อนายอำเภอท้องที่ แล้วนำคำร้องมายื่นต่อผู้กำกับหรือรองผู้กำกับท้องที่เพื่อลงความเห็นแล้วส่งกลับไปยังเขตหรืออำเภอเพื่อพิจารณาอนุญาตต่อไป
3. การขออนุญาตจุดดอกไม้เพลิง
ในเขตกรุงเทพมหานคร ต้องยื่นคำร้องที่สถานีตำรวจท้องที่เพื่อเสนอเรื่องให้ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลเป็นผู้อนุญาต
- ในต่างจังหวัด ให้ยื่นคำร้องต่อนายอำเภอท้องที่
4. การขออนุญาตมีและใช้อาวุธปืน
สามารถยื่นคำร้องต่อนายทะเบียนท้องที่ ดังนี้
กรุงเทพฯ : ยื่นต่อผู้บังคับการกองทะเบียน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
(ลาดพร้าว)
ต่างจังหวัด : ยื่นต่อนายอำเภอหรือปลัดอำเภอ
หลักฐานสำหรับประกอบการพิจารณา ที่ต้องนำไปมีดังนี้
บัตรประจำตัวประชาชาหรือหนังสือสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวพร้อมสำเนา
สำเนาทะเบียนบ้าน
หลักทรัพย์ หลักฐานประกอบอาชีพและรายได้
หนังสือรับรองความเหมาะสม เหตุผล ความจำเป็น นิสัยใจคอ ดังนี้
- ถ้าเป็นราษฎรทั่วไป ต้องนำพยานบุคคลที่เชื่อถือได้ไปให้คำรับรองเกี่ยว
กับความประพฤติและหลักฐานของผู้ขออนุญาตด้วย
- ถ้าเป็นข้าราชการ พนักงาน หรือ ลูกจ้าง ต้องให้ผู้บังคับบัญชาตั้งแต่
ชั้นหัวหน้ากองหรือเทียบเท่า หรือผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด หรือผู้บังคับ
กองพันทหาร รับรองความประพฤติและตำแหน่งหน้าที่การงาน
- ถ้าเคยได้รับอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืน ให้นำใบอนุญาตให้มีและใช้
อาวุธปืน (แบบ ป.4) ไปแสดงด้วย
5. การขออนุญาตพกพาอาวุธปืนติดตัว
สามารถยื่นคำร้องต่อนายทะเบียนท้องที่ ดังนี้
1. ยื่นต่อผู้บังคับการกองทะเบียน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ลาดพร้าว)
สำหรับผู้ที่มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตกรุงเทพฯ
2. ยื่นต่อนายอำเภอ หรือ ปลัดอำเภอ สำหรับผู้ที่มีภูมิลำเนาอยู่ต่างจังหวัด
คุณสมบัติของผู้ขออนุญาตพกพาอาวุธปืนติดตัว
1. เป็นผู้ได้รับอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนอยู่แล้ว
2. เป็นบุคคลประเภทใดประเภทหนึ่งดังต่อไปนี้
- เจ้าพนักงานซึ่งทำหน้าที่ควบคุมทรัพย์สินของรัฐบาล
- ข้าราชการ พนักงาน หรือพนักงานองค์กรรัฐวิสาหกิจ ซึ่งมีหน้าที่ในการปราบ
ปราม หรือการปฏิบัติงานที่เป็นการฝ่าอันตรายหรือเขตทุรกันดาร
- บุคคลซึ่งได้ทำประโยชน์อย่างมากให้แก่ทางราชการในการจับกุมผู้กระทำผิดกฎหมาย
- บุคคลที่มีความจำเป็นต้องมีอาวุธปืนติดตัว เพื่อป้องกันอันตรายจากการประทุษร้าย
- บุคคลที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเห็นสมควรอนุญาต
หลักฐานการขออนุญาต
สำเนาบัตรประจำตัวข้าราชการเจ้าพนักงานหรือพนักงานองค์การรัฐวิสาหกิจหรือบัตรประจำตัวประชาชน
สำเนาใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืน (แบบ ป.4)
สำเนาทะเบียนบ้าน โดยที่อยู่ของผู้ขออนุญาตที่ระบุไว้ในทะเบียนบ้านจะต้องตรงกับที่อยู่ในแบบ ป.4
ภาพถ่ายของผู้ขออนุญาต ขนาด 3 นิ้ว จำนวน 2 รูป โดยถ่ายหน้าตรงแต่งเครื่องแบบ
กรณีผู้ขอเป็นข้าราชการ เจ้าพนักงาน หรือพนักงานรัฐวิสาหกิจ ต้องมีหนังสือรับรองจากผู้บังคับบัญชาต้นสังกัดว่าเป็นผู้มีความประพฤติเรียบร้อยมีเหตุผลและความจำเป้นสมควรได้รับอนุญาตให้พกพาอาวุธปืนติดตัวได้
กรณีที่ผู้ขอทำงานอยู่ในธุรกิจเอกชน จะต้องมีหนังสือรับรองจากเจ้าของหรือผู้จัดการธุรกิจนั้น ๆ ว่าผู้ขอเป็นผู้มีความประพฤติเรียบร้อย มีเหตุผลและความจำเป็นสมควรได้รับอนุญาตให้พกพาอาวุธปืนติดตัวได้
6. การขอรับโอนมรดกอาวุธปืน
ปฏิบัติเช่นเดียวกับการขออนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืน หากต้องเตรียมเอกสารเพิ่มเติมดังนี้
ใบมรณบัตรของผู้ตาย
หนังสือพินัยกรรมของผู้ตาย หรือคำสั่งศาลให้เป็นผู้จัดการมรดก (ถ้ามี)
ต้องแจ้งขอรับการโอนภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับมรดก
การขออนุญาตเล่นการพนันประเภทต่าง ๆ
ควรนำหลักฐานเอกสารดังต่อไปนี้แสดงต่อเจ้าหน้าที่
บัตรประจำตัวประชาชน
ทะเบียนบ้าน ฉบับเจ้าบ้าน
หนังสือมอบอำนาจ พร้อมทั้งสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านของผู้รับมอบอำนาจ ในกรณีที่ผู้ขอมิได้ยื่นคำขอรับใบอนุญาตด้วยตนเอง
โครงการหรืองานที่จะจัดให้มีการเล่นการพนัน (ถ้ามี)
สำหรับในเขตกรุงเทพมหานคร ต้องยื่นคำขออนุญาตจัดให้มีการเล่นการพนัน
พร้อมเอกสารดังกล่าวต่อนายตำรวจชั้นสัญญาบัตรประจำท้องที่ซึ่งดำรงตำแหน่งสารวัตรขึ้นไป ส่วนในเขตต่างจังหวัดนั้นให้ยื่นต่อนายอำเภอท้องที่หรือปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอ ณ ที่ว่าการอำเภอ
การขออนุญาตเยี่ยมผู้ต้องหาบนสถานีตำรวจ
พบเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีหน้าที่ควบคุมผู้ต้องหาบนสถานีตำรวจ
แจ้งชื่อผู้ต้องหาที่ต้องการเยี่ยม
หลังได้รับอนุญาต ให้เข้าเยี่ยมผู้ต้องหาได้ตามระเบียบที่กำหนด คือ
เวลา 08.00 - 09.00 น.
เวลา 12.00 - 13.00 น.
เวลา 16.00 - 17.00 น.
อาหารของเยี่ยมของฝากผู้ต้องหา ต้องได้รับการตรวจจากเจ้าหน้าที่ก่อนเสมอ
จัดทำโดยงาน ชมส.สภ.เวียงเชียงรุ้ง ด.ต.ชลธิศ ใจเติม